เทคนิคการตลาดนั้นมีอยู่มากมายให้เลือกทำซึ่งอาจบอกไม่ได้ว่าแบบไหนเหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุดเพราะธุรกิจของแต่ละอย่างก็เหมาะกับการใช้เทคนิคแตกต่างกันไป และทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้ไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามเทคนิคการตลอดที่เป็นที่นิยมและได้ผลดี ที่ยังคงสามารถใช้ได้จนถึงวันนี้ก็คือ..
1. ใบปลิว
นี่เป็นวิธีการโฆษณาที่มีราคาถูก เลือกพื้นที่รวมทั้งกลุ่มคนเป้าหมายและทำการแจกจ่ายใบปลิว โดยใบปลิวของคุณควรจะสั้นและตรงประเด็นเน้นบริการที่คุณนำเสนอและให้ข้อมูลที่ติดต่อ เสนอโปรโมชั่น เช่น ทดลองฟรี มีราคาพิเศษ หรือแจกคูปองส่วนลด เป็นต้น
2. โปสเตอร์
ซูเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่สาธารณะและห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่มีพื้นที่สำหรับประกาศและโฆษณาฟรี นี่เป็นวิธีที่ดีอีกเช่นกัน โดมีหลักสำคัญคือพยายามทำให้โปสเตอร์สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและมีความน่าสนใจจากการใช้คำและตัวอักษร รวมทั้งภาพ หากคุณไม่สามารถออกแบบเองได้ก็ให้จ้างนักออกแบบกราฟิกเก่งๆ ทำให้ก็ได้
3. การแจกคูปองของแถมหรือส่วนลด
นี่เป็นจุดขายที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการทุกอย่าง บ่อยครั้งที่ปัจจัยการตัดสินใจสำหรับคนที่เลือกระหว่าง 1 ใน 2 ร้านค้าที่ขายของคล้ายกัน คือการได้ส่วนลดหรือมีของแถมบางอย่างเพิ่มขึ้น นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนหรือกระทบกับรายได้หลักจนมีปัญหาในภายหลัง
4. Social Network
Social Network อย่าง Facebook Twitter Pinterest หรือ Instagram เป็นช่องทางการทำการตลาดที่ธุรกิจในยุคใหม่ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ เพราะเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถพุ่งตรงไปที่ผู้คนจำนวนมากได้อย่างง่ายดายและฟรีด้วย (ยกเว้นว่าคุณต้องการให้ได้ผลที่มากขึ้นกว่าเดิมก็จะต้องเสียค่าลงโฆษณาตามแพลตฟอร์มที่ต้องการ) โดยวิธีการใช้ Social Network เหล่านี้ทำได้ไม่ยากเพียงแต่ลักษณะรูปแบบการใช้ของแต่ละแห่งนั้นจะแตกต่างกันซึ่งจะต้องเรียนรู้การใช้แต่ละอย่างเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สุด
5.การตลาดทางอีเมลหรือไลน์ (Email Marketing / Line Marketing)
การตลาดทางอีเมลเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิตอล ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณอาจจะไม่ซื้อสินค้าจากคุณทันที แต่หากสามารถเก็บข้อมูลอีเมลหรือไลน์ของลูกค้าเอาไว้จะช่วยให้คุณสามารถนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ต่างๆ ได้ในอนาคตทันทีตรงไปยังลูกค้า
6. เป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจอื่นๆ
การทำธุรกิจแบบโดดเดี่ยวจะทำให้การพัฒนาธุรกิจทำได้ค่อนข้างยากและเติบโตได้ช้า แต่การเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจต่างๆ จะช่วยส่งเสริมยอดขายของกันและกันให้เพิ่มขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทด้านการตลาดสามารถร่วมงานกับบริษัท บัญชีเพื่อแนะนำบริการของกันและกันได้ หรือร้านกาแฟอาจจะแนะนำบริการอาจมีบัตรส่วนลดเมื่อไปใช้บริการของร้านเบเกอรี่ เป็นต้น (แต่จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่เป็นแนวเดียวกันก็ได้)
และสิ่งที่จะต้องทำก็คือพยายามวัดผลว่าลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านนั้นมาจากช่องทางไหน ทำการเก็บสถิติแล้ววัดผลเพื่อหาทางเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางที่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และปรับปรุงแก้ไขวิธีที่ไม่ได้ผลให้ดีขึ้นหรืออาจจะตัดออกไปหากว่าสิ้นเปลืองงบประมาณหรือแรงงานมากเกินไป
ขอบคุณภาพสวยๆ จาก dianaelizabethblog